บทความแบ่งปันสาระดีดีให้คุณ รวมสาระน่ารู้ บทความฮิตน่าอ่าน การดูแลสุขภาพ เมนูอาหารน่ากิน แหล่งท่องเที่ยวทั่วไทย ตรวจดวงชะตาราศีแม่นๆ
เป็นไปได้? เส้นผมคมกว่าที่คิด แทงเข้าผิวหนัง เสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือด
เส้นปริศนาสีดำในส้นเท้าลูกสาว แม่คิดว่าเป็นพยาธิเพราะเคลื่อนที่ได้ หลังพาไปพบคุณหมอ รพ.หนึ่งในภูเก็ต เเม่และคุณหมอถึงกับงง เพราะมันคือ เส้นผม คุณหมอใช้มีดกรีดส้นเท้าและนำเส้นผมออก ต่างคาใจเข้าไปได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ไม่มีบาดแผล แพทย์ศัลย์ชี้สิ่งแปลกปลอมเข้าร่างกายอาจเกิดการอักเสบและเสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือด…
คุณศิริวรรณ หล้ามา อายุ 27 ปี หรือน้ำ เล่าเหตุการณ์ ว่า เมื่อ 14 พ.ย. 61 ขณะเดินทางจาก จ.ตาก พร้อมลูกสาววัย 2 ขวบ เพื่อไป อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ลูกสาวก็สดใสร่าเริงตามวัย เดิน วิ่งได้ตามปกติดี แต่เธอสังเกตเห็นส้นเท้าของลูกมีรอยแดง และมีเส้นดำๆ อยู่ใต้ผิวหนัง แวบแรกคิดว่าเป็นรอยปากกา ต่อมาคิดว่าน่าจะเป็นพยาธิ เนื่องด้วยรู้สึกว่ามันเคลื่อนที่ช้าๆ ค่อยๆ เปลี่ยนตำแหน่งเล็กน้อยในหนึ่งชั่วโมง แต่ความยาวเท่าเดิม
เส้นผมร้ายกว่าที่คิด สุดงงเข้าผิวหนังอย่างไร ทั้งที่เท้าลูกไม่มีบาดแผล
เมื่อเดินทางถึงภูเก็ต วันที่ 17 พ.ย. 61 เธอได้พาลูกไป รพ. แต่ไม่มีหมอเฉพาะทาง หมอที่ตรวจก็ไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร แต่บอกว่าไม่น่าจะเป็นพยาธิ เพราะพยาธิจะไม่อยู่ตามส้นเท้า และไม่ค่อยเจอในเด็ก จึงนัดให้พบหมอในวันรุ่งขึ้น หลังตรวจหมอใช้ใบมีดกรีดเปิดปากแผลนิดเดียว แล้วก็คีบออกมา ผลคือ เป็นเส้นผม สุดฉงนเส้นผมเข้าไปได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เท้าลูกไม่มีบาดแผล
“อาการเริ่มแรก ไม่มีอะไรเลย ไม่เจ็บไม่คัน ตอนแรกคิดว่าเป็นพยาธิ เพราะมันจะค่อยๆ เคลื่อนที่ เมื่อเช้าอยู่ข้างล่าง ตอนเย็นขยับนิดนึงไปอยู่ข้างบน วันแรกที่ไปหาหมอ หมอก็ไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร บอกอาจจะเป็นเส้นผม แต่แม่ก็ยังงง ว่าถ้าเป็นเส้นผมทำไมเคลื่อนที่ได้ และจะเข้าไปได้ยังไง หมอบอกอาจจะเข้าทางรูที่เคยเป็นแผล แต่เท้าน้องก็ไม่มีแผลอะไรเลย นี่เป็นอุทาหรณ์เตือนคุณแม่หลายๆ คนว่า เส้นผมมันร้ายกว่าที่เราคิดนะ หมอยังงง แม่ก็งงว่ามันเข้าไปได้ยังไง” น.ส.ศิริวรรณ เล่าเหตุการณ์
ต้อม ไกรวิทย์ เคยโดน ยืนยัน 100% ช่างตัดผมเจอทุกคน
ซึ่ง น.ส.ศิริวรรณ บอกกับทีมข่าวฯ ว่า เป็นอะไรที่คิดไม่ถึงเลย ว่าแค่เส้นผมจะเข้าไปอยู่ใต้ผิวหนังของเด็ก 2 ขวบได้ คาดว่าเมื่อเย็นวันที่ 14 พ.ย. เธอและลูกได้ไปส่งสามีที่ร้านตัดผม ลูกสาวก็วิ่งเล่นไปมาในร้านตัดผมโดยไม่ได้ใส่รองเท้า ก็น่าจะเป็นไปได้ว่าเส้นผมอาจจะทิ่มตำเข้าไปในส้นเท้าลูก และสงสัยว่าเส้นผมมีความคมถึงขั้นสามารถเจาะเข้าผิวหนังคนได้ด้วยจริงๆ หรือ
จากข้อสันนิษฐานดังกล่าวเป็นจริงมากแค่ไหน เส้นผมทิ่มแทงเข้าใต้ผิวหนังได้จริงๆ หรือ ทีมข่าวฯ สอบถามจาก ต้อม ไกรวิทย์ พุ่มสุโข ช่างออกแบบทรงผมชื่อดัง อดีตนักร้อง นักแสดงมากความสามารถของไทย เจ้าของร้านสุโขซาลอน (Sukho Salon) ในเอสพลานาด รัชดาภิเษก ยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เส้นผมคมกว่าที่คิด และสามารถทิ่มตำเข้าใต้ผิวหนัง ปักมือ เท้า ได้จริงๆ และช่างผมเจอกันทุกคน แม้จะระวังตัวก็ตาม
โดยส่วนตัวแล้ว เคยโดนเป็นประจำ หากว่ามีมุมองศาที่พอดีกับส่วนที่สัมผัสเส้นผม นำออกโดยให้ช่างช่วยใช้เข็มสะกิดออก เพราะจะเจ็บแปลบๆ คล้ายเสี้ยนตำเท้า และหากปล่อยทิ้งไว้นานๆ โดยที่ไม่รู้ก็จะบวม เจ็บ เกิดเป็นหนอง ทำให้ผิวหนังอักเสบได้
“ตอนเปิดร้านตัดผมที่เมืองนอก ต้อมไม่เคยโดนเส้นผมตำ เพราะผมฝรั่งส่วนใหญ่เส้นบางๆ เล็กๆ แต่ผมคนเอเชียเส้นใหญ่ บางคนเส้นใหญ่มากๆ และแข็งด้วย แล้วก็มีความคมมาก ยิ่งทิ่มตำผิวได้ง่าย บางทีเส้นผมหล่นไปซอกเล็บ ใต้พื้นรองเท้า เดินไปเดินมา จังหวะเป็นมุมทแยงก็ทิ่มตำเข้าผิวได้
คนผิวแห้งจะโดนบ่อยมาก พอผมปักติดอยู่ข้างใน ก็จะเจ็บแปล๊บๆ ต้องใช้เข็มบ่งออก ปล่อยไว้นานๆ ผิวจะอักเสบ แต่โอกาสที่ลูกค้าจะโดนตำนั้นน้อย นอกจากจะเจอแจ็กพอตจริงๆ เป็นมุมที่ไปเจอเส้นผมแข็งๆ พอดี ยิ่งคนเส้นผมหยาบๆ นี่แข็งเหมือนเสี้ยนเลย” ต้อม ไกรวิทย์ ยืนยันจากประสบการณ์ตัดผมและออกแบบผมทั้งในประเทศและต่างประเทศมากว่าหลายสิบปี
เส้นผมเหมือนไม่อันตราย แต่เสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือด เด็ก คนแก่ ผิวแห้ง มีโอกาสเกิดสูง
น.ส.ศิริวรรณ รู้สึกโชคดีที่เห็นเส้นผมในส้นเท้าลูก เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ อาจเป็นจุดเริ่มของปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมาได้ ผศ.นพ.พรเทพ สิริมหาไชยกุล หรือ คุณหมอหวาน หัวหน้าหน่วยศัลยศาสตร์ตกแต่ง คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล และกรรมการสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่าโดยปกติ ร่างกายจะต่อต้านกับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย เช่น เส้นผม เล็บ เสี้ยน เศษแก้ว หิน ทราย กรวด เป็นต้น
เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ร่างกายจะสร้างเยื่อขึ้นมาหุ้มสิ่งแปลกปลอม เพื่อปกป้องไม่ให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย ในบางครั้งสิ่งแปลกปลอมพวกนี้อาจทำให้เกิดการอักเสบได้ มีอาการปวดบวมแดงร้อนได้ในบริเวณนั้นๆ นอกจากนี้อาจเกิดการติดเชื้อได้ในกรณีที่สิ่งแปลกปลอมนั้นไม่สะอาด ถ้าสิ่งแปลกปลอมนั้นค่อนข้างสะอาด อาจเกิดเพียงการอักเสบ แต่ไม่ติดเชื้อก็ได้
เส้นผมที่เข้าไปฝังในส้นเท้า หรือใต้ผิวหนังบริเวณอื่น หากปล่อยไว้โดยไม่สังเกตเห็น อาจเกิดการอักเสบได้ภายหลัง หรืออาจติดเชื้อตามมาได้ ซึ่งการติดเชื้อนั้นแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1.ติดเชื้อบริเวณที่เป็น ต้องผ่าตัดเอาสิ่งแปลกปลอมออกและทำแผล ร่วมกับให้ยาฆ่าเชื้อ จนแผลหาย
2. หากอาการมากขึ้นอาจติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมด้วย อันนี้อาการจะหนักมาก อาจเสียชีวิตได้
สำหรับกรณีน้องของขวัญนั้นคิดว่าเป็นเพียงการอักเสบ การรักษาคือนำเอาสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกาย หรือถ้ามีการติดเชื้อ ก็น่าจะเป็นแค่แบบที่ 1 อาการไม่รุนแรง
“เส้นผมฝังเข้าไปในส้นเท้า แล้วร่างกายเด็กสร้างเยื่อมาหุ้ม เลยนูนออกมา ผมเข้าทางผิวหนัง เพราะความคมของผม และผิวเด็กบอบบาง ซึ่งเป็นได้ทั้งสองอย่าง ผิวของเด็ก หรือคนแก่จะผิวบาง มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุแบบนี้ได้ง่ายจากของแหลมเข้าร่างกาย หากคุณแม่ไม่สังเกตว่าลูกมีอะไรแปลกปลอมในร่างกาย ก็อาจเสี่ยงเกิดการอักเสบ หรือติดเชื้อตามมาก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับสิ่งแปลกปลอมนั้นสะอาดหรือไม่ ถ้าไม่สะอาดก็อาจใช้เวลาเพียง 4-5 วัน แต่ถ้าสะอาดก็อาจใช้เวลาเป็นเดือนหรือปี” คุณหมอหวานกล่าว
หมอผิวหนังชี้แนะ ควรเช็กร่างกายลูกเล็กๆ ให้บ่อยๆ
ด้าน พญ.มิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ระบุด้วยว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายมีการเปิดของผิวหนัง เช่น มีรอยแผล มีรอยแยกของผิวหนัง สิ่งต่างๆ ก็สามารถเข้าร่างกายได้ แล้วร่างกายจะถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมและจะมีกลไกขับออก โดยจะมีเม็ดเลือดขาวและน้ำย่อยต่างๆ มาสลายทำลายสิ่งแปลกปลอมนั้น
แต่ถ้าเป็นวัตถุที่สลายยากก็จะโดนล้อมรอบด้วยเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ตาย และจะส่งเนื้อเยื่อเกี่ยวพันมาห่อหุ้มเพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมไปทำร้ายส่วนอื่นของร่างกาย ผ่านไปสักระยะ เเผลหรือรอยแยกปิด แต่ถ้ายังสลายสิ่งแปลกปลอมไม่ได้ เนื้อเยื่อก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้นได้ ถ้ามีเชื้อโรคปนเปื้อนมาด้วยก็จะมีหนองเกิดขึ้นได้
“สิ่งแปลกปลอมเข้าร่างกาย เด็กมักไม่รู้สึกตัว แต่กลไกร่างกายก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ พยายามห่อหุ้มเพื่อทำลายและป้องกันไม่ให้ไปเกิดอันตรายกับร่างกายส่วนอื่น ผิวเด็กบอบบางมาก มีรอยแยกหรือบาดแผลได้ง่ายทำให้เส้นผมมีโอกาสเข้าไปได้ แต่พบไม่ค่อยบ่อย ที่พบบ่อยในเด็ก มักเกิดจากอุบัติเหตุที่มีเสี้ยนหรือไส้ดินสอตำมากกว่า คุณแม่หรือผู้ปกครองควรหมั่นสังเกตร่างกายลูกบ่อยๆ ตั้งแต่หัวจดเท้าเลยก็จะดี โดยเฉพาะในเด็กเล็กๆ เห็นความผิดปกติอะไรจะได้แก้ไขได้ทันท่วงทีค่ะ” พญ.มิ่งขวัญ กล่าว.
#1แชร์=1ธรรมทาน แชร์ไปได้บุญ สร้างกุศลความดี
#ถ้าข้อมูลนี่เป็นประโยชน์และสามารถช่วยใครได้อีกหลายๆคน อย่าเก็บไว้อ่านคนเดียวน๊า!! อย่าลืมส่งให้คนที่คุณรัก ได้อ่านด้วยนะคะ
